วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตัวชี้วัด การงานอาชีพและเทคโนโลยี ม.2

สาระที่ ๑ การดำรงชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน ง๑. ๑ เข้าใจการทำงาน  มีความคิดสร้างสรรค์   มีทักษะกระบวนการทำงาน  ทักษะการจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา  ทักษะการทำงานร่วมกัน  และทักษะการแสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม  เพื่อการดำรงชีวิตและครอบครัว
ตัวชี้วัด
๑.ใช้ทักษะการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา การทำงาน
๒.ใช้ทักษะกระบวนการแก้ปัญหาในการทำงาน
๓.มีจิตสำนึกในการทำงานและใช้ทรัพยากรในการปฏิบัติงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า

สาระที่ ๒ การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง๒. ๑  เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี  ออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้ หรือวิธีการ  ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์   เลือกใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต  สังคม สิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายกระบวนการเทคโนโลยี
๒.สร้างสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างปลอดภัย ออกแบบโดยถ่ายทอดความคิดเป็นภาพร่าง ๓ มิติ หรือภาพฉาย เพื่อนำไปสู่การสร้างต้นแบบของสิ่งของเครื่องใช้ หรือถ่ายทอดความคิดของวิธีการเป็นแบบจำลองความคิดและการรายงานผล เพื่อนำเสนอวิธีการ
๓.มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการ ในงานที่ผลิตเอง
๔.เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม และมีการจัดการเทคโนโลยีด้วยการลดการใช้ทรัพยากรหรือเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สาระที่ ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มาตรฐาน ง๓. ๑ เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้   การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน  และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีคุณธรรม
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายหลักการเบื้องต้นของการสื่อสารข้อมูล  และเครือข่ายคอมพิวเตอร์
๒.อธิบายหลักการ และวิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
๓.ค้นหาข้อมูล และติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์  อย่างมีคุณธรรมและ จริยธรรม
๔.ใช้ซอฟต์แวร์ในการทำงาน

สาระที่ ๔ การอาชีพ  
มาตรฐาน  ง๔.๑ เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ  ใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาอาชีพ  มีคุณธรรม และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายการเสริมสร้างประสบการณ์อาชีพ
๒.ระบุการเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ
๓.มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพที่สนใจ

ตัวชี้วัด การงานอาชีพและเทคโนโลยี ม.1

สาระที่ ๑ การดำรงชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน ง๑. ๑ เข้าใจการทำงาน  มีความคิดสร้างสรรค์   มีทักษะกระบวนการทำงาน  ทักษะการจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา  ทักษะการทำงานร่วมกัน  และทักษะการแสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม  เพื่อการดำรงชีวิตและครอบครัว
ตัวชี้วัด
๑.วิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานตามกระบวนการทำงาน
๒.ใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงานด้วยความเสียสละ
๓.ตัดสินใจแก้ปัญหาการทำงานอย่างมีเหตุผล

สาระที่ ๒ การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง๒. ๑  เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี  ออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้ หรือวิธีการ  ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์   เลือกใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต  สังคม สิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
ตัวชี้วัด
-

สาระที่ ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มาตรฐาน ง๓. ๑ เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้   การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน  และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีคุณธรรม
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายหลักการทำงาน บทบาทและประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
๒.อภิปราย ลักษณะสำคัญ และผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
๓.ประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ

สาระที่ ๔ การอาชีพ  
มาตรฐาน  ง๔.๑ เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ  ใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาอาชีพ  มีคุณธรรม และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายแนวทางการเลือกอาชีพ
๒.มีเจตคติที่ดีต่อการประกอบอาชีพ
๓.เห็นความสำคัญของการสร้างอาชีพ

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กฎทอง 10 ข้อของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ

By lackana

หลายท่านคงจะทราบว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกเมื่อปี 2008 โดยมีทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 2.2 ล้านล้านบาท แต่ในปีนี้โดน บิล เกตส์ แย่งตำแหน่งไป เพราะทรัพย์สินโดยรวมของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ลดลงเก้าแสนล้านบาท คงเหลือ 1.3 ล้านล้านบาท ถึงแม้ทรัพย์สินของ บิล เกตส์ ก็ลดลงเช่นกัน แต่ลดลงในจำนวนที่น้อยกว่าวอร์เรน คือ ลดลงเพียงหกแสนกว่าล้านบาท ทำให้ปีนี้บิลเกตส์กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกแทน โดยวอร์เรนตกลงมาอยู่ที่อันดับสองของโลกแทน สำหรับคนทั่วไป อย่าว่าแต่ติดอันดับเลย แค่ขอให้พอกินพอใช้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว วอร์เรนได้ให้ข้อคิดเคล็ดลับความร่ำรวยของเขากับคนที่กำลังประสบความลำบากเกี่ยวกับวิกฤตการเงินขณะนี้อย่างน่าสนใจมาก เขาบอกให้ทุกคนให้พยายามทำตามกฎเหล็กเก้าข้อ ที่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้มาแต่โบราณ แต่มักจะลืมและไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์

กฎทอง 10 ข้อ ของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ ได้แก่

1. ต้องทำงานหนัก สำหรับวอร์เรนแล้ว เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะนำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า “อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย” จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้
2. อย่าขี้เกียจ เขาได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ว่า “ขนาดกุ้งมังกรตัวโตๆ ถ้ามัวแต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้” หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน
3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการหวังพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำให้ทำการลงทุนที่ฉลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่นถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามาในแต่ละเดือนได้ด้วย
4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มจ่ายเงินซื้อสิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริงๆ คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจต้องขายสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดแทน ดังนั้นคิดและตั้งสติก่อนที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ
5.ตั้งใจออม เขาเน้นว่าเราอย่ารอเก็บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย ข้อนี้ลึกมากนะคะ หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องกันออกมาออมก่อนจะไปทำอย่างอื่น
6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้สร้างสิน เพียงแค่ต้องการมีทรัพย์สินให้เหมือนกับคนอื่น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว
7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน” นั่นคือต้องอย่าทำให้มีจุดรั่วไหลของบัญชี
8. หมั่นตรวจสอบ เขาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ  จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็กๆ แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ
9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่าที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่าเราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อมๆ กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยงเราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด
10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลงทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนอย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้นเราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้

ข้อคิดเหล่านี้ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นประโยชน์มากสำหรับการดำเนินชีวิตของนักธุรกิจ นักการตลาด หรือแม้กระทั่งมนุษย์เงินเดือนทั่วไป เพราะสิ่งที่เขาพูดหลายข้อก็คล้ายกับสิ่งที่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือครูบาอาจารย์ ของเราเคยสั่งสอนกันต่อๆ มา ดังนั้นดิฉันหวังว่ากฎทองแห่งความสำเร็จสิบข้อของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นี้คงจะมีประโยชน์กับพวกเราทุกคนไม่มากก็น้อย ไม่ต้องเป็นมหาเศรษฐีโลกอย่างเขาหรอก แค่เพียงเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

นักการเมืองยื่นปลา... พระราชายื่นเบ็ด
นักการเมืองแจกแท็บเล็ต... กษัตริย์แนะเคล็ดวิชา
นักการเมืองห่วงอำนาจ... มหาราชห่วงประชา
นักการเมืองสร้างสัญญา... องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม
นักการเมืองหาเรื่องกิน... องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ
นักการเมืองยุให้รำฯ... ในหลวงย้ำให้ทำดี
นักการเมืองมักแบ่งขั้ว... องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี
นักการเมืองทำสี่ปี... องค์ภูมีทำทุกวัน
นักการเมืองชอบแบ่งเสียง...พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน
นักการเมืองคิดสั้น... องค์ราชันย์คิดยาว

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ใช้ Server ประกอบไม่ได้เหรอ

มาดูจุดต่างกันเลยดีกว่าว่าความต่างเป็นอย่างไร
การรับประกัน : 
            สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุดคือ การรับประกัน ถ้าเราดูสถิติการใช้เงินของลูกค้าแล้ว ยอดการใช้จ่ายจากการบำรุงรักษา Server นั้นยอดสูงมากทีเดียว คุณลองคิดจิตนาการดูว่า หาก Server ประกอบที่คุณซื้อมาเสียนอกเวลา Office Time นั้นคือตั้งแต่ 20.00 - 10.00 น. คุณจะปรึกษาใคร นี่คือ System Down เป็นเวลากว่า 14 ชม. จะเห็นว่านานเหลือเกิน นี่ยังไม่รวมวันหยุดที่จะต้องหยุด 1 วันเต็มๆต่อ 1 อาทิตย์ และยังไม่รวมวันหยุดประจำปีต่างๆอีกมากมาย
            แล้วลองคิดต่อว่า หาก Server คุณมีปัญหา คุณจะอยากได้บริการถึงที่หรือไม่ สำหรับเครื่องประกอบอาจจะมี Onsite แต่เมื่อ Onsite ถึงที่ก็ต้องมาดูอีกว่าอะไรเสียเพราะระบบ Alert ต่างๆไม่มี แล้วก็ต้องกลับไปเอาสินค้าที่เสียมาเปลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้น หากสินค้าตัวนั้นตกรุ่นไปแล้ว ไม่มีใน Stock ก็ต้องสั่งรออีกร่วมอาทิตย์ ดังนั้นคุณจะเห็นว่าความต่างของสินค้าเพียงไม่เท่าไร เทียบกับความเสียหายของ Downtime ที่เกิดขึ้นในธุรกิจของคุณ คงเทียบกันไม่ได้เลย
            แล้วคำถามคือ แล้วเครื่อง Brand ประกันแบบไหนล่ะ คำตอบคือ Onsite Service ถึงที่ ที่เครื่องมี Alert บอกว่าอุปกรณ์ตัวไหนเสีย วิ่งมาเอาตัวนั้นมาเปลี่ยนเลย ไม่ต้องรอเช็คก่อนว่าอะไรเสีย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีบริการ Onsite Service ภายใน 2 ชม. ตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุด คุณจะเสียวันปีใหม่ตี 1 เขาก็จะ Response คุณภายในตี 3 เลยว่างั้น ถ้าระบบซีเรียสก็สามารถซื้อประกันระดับนี้เพิ่มเติมได้ และยังรับประกันทั่วประเทศอีกต่างหาก ไม่ต้องไปเสี่ยงว่าซื้อประกอบไปแล้วไปอยู่ต่างจังหวัด หรือไปอยู่เกาะ การรับประกันก็สามารถไปถึงท่านได้ทั่วประเทศ
            อีกนิดนึง Tag ติดการรับประกันของเครื่องประกอบใช้ Sticker แปะ แล้วก็เขียนเอาว่าเริ่มวันไหน แต่ Server Brand นั้นฝังอยู่หน้าตัวเครื่องเลยครับเป็น Part Number & Serial Number ของเครื่องนั้น และบางทีคุณจะได้ประกันมากกว่าที่คุณจะได้ด้วยซ้ำ แต่เครื่องประกอบ ก็แล้วแต่เขาจะเขียน เกิดมันเลือนลาง จางหายไป เพราะมันเป็นหมึกเขียน ก็อาจจะทำให้มีปัญหาได้ว่าหมดประกันไปหรือยัง ต้องไปสืบค้น Invoice อีกต่างหาก

ระบบ Alert 
            สิ่งนี้เล่าให้ฟังไปบ้างแล้ว สำหรับ Server ประกอบนั้น ระบบ Alert อุปกรณ์ต่างๆ ในการเสียหายของ Server นั้นแทบไม่มี อุปกรณ์ไหนเสียก็ต้องสุ่มหากันไป เหมือนดัง PC แต่สำหรับ Server Brand บางยี่ห้อ สามารถ Alert อุปกรณ์ได้แทบทุกอย่างภายใน อาทิเช่น Memory , Harddisk ,Fan ,Power Supply และอีกมากมาย มีแม้กระทั้งเตือนก่อนจะเสียด้วยซ้ำ และเคลมได้ทันที ไม่ต้องรอมันเสียก่อนเหมือนกับ Server ประกอบ ดังรูปด้านล่าง

มาตราฐานของอุปกรณ์ 
            มีหลายสาเหตุที่ทำให้ 2BeSHOP เราไม่ขายเครื่องประกอบไปด้วย เหตุผลหนึ่งคือ การมั่นใจในอุปกรณ์ว่าใช้ของแท้แน่นอน 100% เพราะคุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอุปกรณ์ที่ร้านประกอบใส่มาให้กับคุณนั้นคือของมีคุณภาพ ตัวอย่างเช่น Harddisk จริงๆแล้วมันมี 2 เกรด ลองโทรถามทาง Synnex ได้จะมี SATA ที่ใช้ตามบ้าน กับ SATA Enterprise ที่ใช้กับ Server ถามว่าคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าร้านเครื่องประกอบคุณเอา Disk แบบไหนมาใส่ให้ ทั้งๆที่มันหน้าตาเหมือนกัน ต่างกันที่ Serial แต่ราคามันแตกต่างกันเป็นเท่าตัว นี่คือที่สำหรับเก็บข้อมูลสำคัญของบริษัทเชียว หรือ Memory มีทั้งแบบ ECC และ DDR ธรรมดา ถ้า ECC ก็จะรองรับการส่งข้อมูลที่ผิดพลาดของระบบ แต่ Memory ยังพอดูออกที่ตัว Memory เอง แต่ก็ต้องมากังวลอีกว่า Memory ที่ใช้นั้นเทียบ BUS เอาหรือว่าเฉพาะรุ่น เพราะอย่าง SERVER IBM/HP หรือแม้แต่ DELL เองเวลาสั่ง Kingston ก็จะมี Kingston แบบคุณภาพที่ทำมาเทียบ Part กับ IBM/HP เอง แต่ถ้าใช้ของไม่คุณภาพ ก็จะใช้ศัพท์ว่าเทียบ BUS เอาของก็จะราคาถูก แต่นั้นแหละครับ มาด้วยคุณภาพตามราคา พร้อมความเสี่ยง Downtime ที่เกิดขึ้น ของประกอบไม่ได้ถูกที่เพราะมันประกอบ แต่เพราะถูกที่มันเอาของคุณภาพต่ำมาประกอบๆ รวมๆกัน


ที่มา : http://www.2beshop.com/compaseries.php

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมต้องใช้ Server ไม่ใช้ PC

            คำถามที่ว่า ทำไมต้องใช้ Server ไม่ใช้ PC เป็นคำถามยอดฮิต ขององค์กรที่มีงบประมาณค่อนข้างต่ำ หรือแม้แต่บางองค์กรใหญ่ๆ ก็รู้สึกว่าการซื้อ Server เกินความจำเป็น เพราะ PC ก็รันได้ อัดแอร์ให้ 24 ชม. หน่อย มันก็วิ่งไปได้ มีหลายเครื่องหน่อย คอยทดแทนกัน ถ้าพูดเช่นนั้น ก็ต้องบอกว่าจริง มีหลายองค์กรที่นำ PC มาทำเป็น Server แล้วก็ทำการเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี ก็ว่ากันไป ก็อาจจะทำให้ประหยัดกว่าซื้อ Server 1 เครื่อง แต่คำถามก็คือ ทำอย่างนั้นได้ การใช้งานก็คงต้องไม่มาก เพราะ PC ก็ทำมาให้ใช้ได้แค่ 1 CPU เท่านั้นหรือเขาเรียกกันว่า 1way หรือระบบงานคงไม่ซีเรียสมาก เพราะคุณคงต้องตั้งคำถามในใจว่า หาก Server ตัวนี้พัง Harddisk พัง หรือล่มขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากเพียงใด ถ้าไม่มากก็คงใช้ PC ได้แต่หากมีผลเสียหายมากคุณจะเอาความเสี่ยงนั้นฝากไว้กับ PC ราคาหมื่นกว่าบาท หรือฝากไว้กับส่วนต่างที่ต่างกันไม่กี่หมื่นเท่านั้น

แล้ว PC กับ Server ต่างกันตรงไหนล่ะ
     1.Alert ต่างๆ : อันนี้ต้องบอกว่า PC นั้นไม่มี และ Server ประกอบก็ไม่มีเช่นกัน เทคโนโลยี่ Server นั้นก้าวไกลมาก ถึงขนาดที่ Server บางรุ่น สามารถบอกให้คุณได้รู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำว่าอุปกรณ์กำลังจะเสีย เสียชิ้นไหน เสียตัวที่เท่าไร ลองนึกภาพ หากคุณใส่ Memory ไปทั้งหมด 8 แถว แล้วเกิด Memory เสีย สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ถอดออกทีละแถว แล้วรันดูว่าอันไหนเสีย แต่เทคโนโลยี่ Server บางยี่ห้อ สามารถกดปุ่มใน board แล้วขึ้นไฟบอกได้เลยว่า Memory แถวไหนเสีย หรือหาก Harddisk กำลังเสีย วิ่งด้วยความเร็วผิด Speed ก็จะแจ้งเตือนที่หน้าเครื่องว่ากำลังจะเสีย สิ่งนี้คุณจะไม่พบได้เลยใน PC หรือแม้กระทั้ง Server ประกอบ
     2.Mainboard : จริงๆแล้ว Mainboard เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ ชื่อก็บอกอยู่ล่ะว่า Main ถามต่อไปว่าต่างกันขนาดนั้น คงต่างกันที่สถาปัตยกรรม Board Server ถูกออกแบบมาให้รันได้ตลอด 24 ชม แต่ PC ไม่ใช่อย่างนั้น ส่วน Slot ต่างๆก็จะแตกต่างกัน Server โดยส่วนใหญ่จะ Onboard พวกการ์ดจอ และก็เช่นกัน มักไม่มี Sound Card ทั้งที่เพราะส่วนใหญ่นำ Server ไว้ share file รัน application เลยไม่ค่อยฟังเสียงกัน คนที่ใช้งาน multimedia มากๆมักจะใช้ workstation มากกว่า Server
            สำหรับความแตกต่างด้านราคานั้น ผมเคยซื้อตัวประกอบ Mainboard PC จะอยู่ที่ 1,500 - 3,000 แต่ถ้า Server ราคามักจะเริ่มต้นที่ 10,000 บาทสำหรับ Mainboard นี่คือพวก Server ประกอบนะครับ แต่เดี๋ยวนี้ Brand name ก็ถูกกว่าประกอบได้
     3.Power Supply : Power Supply นั้นเป็นส่วนสำคัญ ป็นระบบจ่ายไฟของทั้งระบบ สำหรับตัวนี้นั้นสำหรับ Server ก็เช่นกัน ถูกออกแบบมาให้เปิดใช้งานได้ตลอด 24 ชม เท่าที่ผมเคยซื้อ มันตัวนึงก็ 5 พันกว่าบาทได้ นี่แบบถูกๆเลยนะ แต่เราจะเห็นว่า Power Supply PC มันลูกละ 150 บาทได้มั้ง เห็นว่ามันต่างกัน แล้วผมเคยมีประสบการณ์ บางคนใช้ PC แล้ว Power Supply ไหม้ ส่งผลถึงข้อมูลระบบ มันละลายลงไปโดน mainboard ทำให้ harddisk พังข้อมูลพัง จบเลยงานนี้ ดังนั้นท่านต้องคิดแล้วล่ะว่าข้อมูลท่านสำคัญมากน้อยแค่ไหน
            อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับ Server นั้นมีหลายรุ่นที่มี Reduntdant Power Supply นั้นคือ มันมี Power Supply 2 ตัวในเครื่องเดียว ป้องกัน Power Supply พัง แล้วยังเป็น Hot swap ด้วย นั้นคืออันไหนพังเราก็ดึงออกได้เลย โดยไม่ต้องปิดเครื่อง แล้วเสียบเข้าได้โดยไม่ต้องปิดเครื่องเช่นกัน ก็จะไม่มี Downtime เลยว่างั้น
     4.CPU : CPU นั้นต่างกันแน่นอน แต่ก็มี CPU ที่ไม่ต่างกันคือพวก CPU ตระกูล Pentium ทั้งหลาย บน Server กับ PC นั้นไม่ต่างกัน แต่สำหรับ Server เองที่อยู่ในระดับสูงนิดนึงก็จะมี XEON Processor เป็น Server ที่สำหรับ Server ใส่ได้ตั้งแต่ 2 ตัว 4 ตัว 8 ตัว 16 ตัว แล้วแต่ Mainboard จะเห็นว่าหากคุณรันงานหนักๆ คงไม่มีทางที่จะเอา CPU Pentium เพียงตัวเดียวมาทำงาน งานบางงานระดับ Software House ก็ใช้ Server ตัวนึงเป็นล้านๆ แต่ถามว่าแม้เป็นล้าน มันก็ทำงานได้หลายล้านเช่นกัน สรุปคือ CPU มีจำนวนที่ใส่ได้มากกว่า แล้วสามารถรองรับ Application ที่รันหนักๆได้อย่างดี
     5.Memory : บางคนอาจจะ โห มันต่างกันด้วยเหรอ ต่างครับ Server จะใช้ Memory ที่เรียกว่า ECC Memory จะเป็น Memory ที่มีระบบป้องกันการส่งข้อมูลผิดพลาด อีกทั้ง Memory สำหรับบางยี่ห้อที่เป็น Chipkll คือเป็นเหมือน Mirror Memory เลยทีเดียว คือ หากคุณมี Memory 4 แถว เกิดพังไป 1 แถว ถ้าเป็น PC รันไปถึง Memory ตัวนั้นก็คงแฮงไปเลย แต่ Server ไม่พังคับ ก็ยังรันต่อไปได้ โดยไม่มีสะดุด้
     6.Hard Drive : หรือ Harddisk นั้นแหละ ทำไมต่างกันนั้นเหรอ สำหรับ PC เราคงรู้จัก IDE กัน แล้วก็เดี๋ยวนี้คงเป็น Serial ATA (SATA) มาแทน IDE แต่สำหรับ Server นั้นจะสามารถใช้งาน SCSI ได้ ซึ่งเป็น Harddisk ที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ แล้วยังมีเทคโนโลยี่ใหม่เรียกว่า SAS (แซด) ฟังดูเศร้าๆ แต่ก็เป็นเทคโนโลยี่ของ SCSI ใหม่ที่ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นไปอีก
     7.RAID Controller : RAID หลายคนอาจจะฟังแล้วไม่คุ้น บางคนก็คงคุ้นเคย ใน PC นั้นไม่มี RAID แน่นอนทำให้เลยไม่คุ้นสักเท่าไร แต่ใน Server นั้น RAID มีความสำคัญมาก ถ้าพูดถึงข้อมูลแล้ว เราคงให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นเลยมีเทคโนโลยี่ RAID เพื่อช่วยป้องกัน Harddisk พัง ซึ่งจะทำให้มี Harddisk ที่พร้อมทำงานแทนตลอดเวลาเมื่อลูกใดลูกหนึ่งพัง ก็ไม่ต้องมานั่งกู้ข้อมูล Restore กันให้วุ่นวาย รวมถึง RAID ยังสามารถทำให้ประสิทธิภาพในการเรียกใช้งาน Harddisk ทำได้เร็วขึ้นด้วย ก็มีเช่นกัน ดังนั้นทำให้หลายองค์กรก็เลือกใช้ RAID เพื่อป้องกันข้อมูลที่สำคัญของตนเอง ไว้ผมจะเขียนเรื่อง RAID ให้ว่าแต่ละ RAID ต่างกันอย่างไรมันมีตั้งแต่ RAID 0,1,5,0+1,10 สารพัด RAID

ที่มา : http://www.2beshop.com/compaseries.php

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

QR Code

QR Code คืออะไร?
          หลายๆ คงรู้จักกับ Bar Code กันแล้ว เพราะทุกสินค้า และห้างร้านบ้านเรา ก็มักจะใช้ตัว Bar Code เพื่อกำกับสินค้า ว่าสินค้าตัวนั้น มีชื่อว่าอะไร ราคาเท่าไหร่ เป็นต้น เพื่อให้คอมพิวเตอร์ได้อ่าน และประมวลได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียของเจ้า Bar Code ก็คือมันจะสามารถอ่านได้เฉพาะจากเครื่องอ่าน Bar Code เท่านั้น
          QR Code คืออะไร? QR Code ก็คล้ายกับ Bar Code นั้นแหละคือคือรหัสชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้ โดย QR Code หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า two-dimensional bar code (2D bar code) มันหน้าที่ไว้เก็บข้อมูลต่างๆ ได้เหมือนกันแต่ว่าเร็วกว่า ใช้งานง่ายกว่า และมีลูกเล่นเยอะกว่า Bar Code มากครับ ชื่อของ QR Code นั้นมาจากนิยามความหมายว่า Quick Response หรือการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งมาจากความตั้งใจของผู้คิดค้น ที่จะให้ QR Code นี้สามารถถูกอ่านได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง ซึ่ง QR Code นี้ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1994 โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ที่ชื่อ Denso-Wave และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ QR Code ไปแล้วทั้งในญี่ปุ่น และทั่วโลก และปัจจุบันตัวสัญลักษณ์ QR Code นี้ได้รับความนิยม จนกลายเป็นของธรรมดาในญี่ปุ่นไปแล้ว