วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กําจัดไวรัสซ่อนไฟล์

 เปิด Command Prompt โดยเข้าที่
1.ไปที่ Start Menu -->All program --> Accessories -->Command Prompt พิมพ์ cmd 
    หรือ กด start พิมพ์ในช่องค้นหาว่า cmd หรือคลิกที่ run
2.จะได้หน้าต่างสีดำๆ มา ให้ทำการดูว่า แฟรชไดส์เราเป็นไดส์อะไร(ไดส์ที่เราจะทำการกำจัดไวรัสซ่อนไฟล์) เช่น ถ้าเป็นไดส์ G ก็ให้พิมพ์ g:  เป็นต้น แล้วกดEnter
เช่น C:\Document and Settings\Administrator> g:
3.จากนั้นให้ทำการพิมพ์ว่า attrib -r -s -a -h /d  /s แล้วกด Enter
เช่น g:\>attrib -r -s -a -h /d  /s
4. รอสักครู่ จนกว่าจะขึ้นแบบไดร์ปกติ (คำสั่ง attrib -r -s -a -h /d  /s ในบรรทัดถัดไปจะไม่มี)  พอขึ้นแบบนี้แล้วให้ทำการ ปิด แล้วให้เปิดไดส์ ของแฟรชไดส์ของเรา
เช่น g:\>

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มาตรฐานด้าน ICT/ETC สำหรับครูยุคใหม่

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ไชยยศ เรืองสุวรรณ

บทนำ
เมื่อประมาณกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ.2542 ผู้เขียนได้เขียนบทความสั้นๆ เรื่องหนึ่งในหัวข้อเรื่อง“มาตรฐานประกันคุณภาพการศึกษา : สร้างมาตรฐานการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ” เพื่อใช้ประกอบการบรรยายในการอบรมอาจารย์และบุคลากรใหม่ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งประเด็นสำคัญที่บรรยายในครั้งนั้น ได้เน้นในเรื่อง “วัสดุอุปกรณ์ และสื่อเทคโนโลยีการศึกษา” ซึ่งเป็นหัวข้อหนึ่งที่มหาวิทยาลัยคาดหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าวในการพัฒนาระบบการเรียนการสอน โดยเฉพาะเรื่อง IT (Information Technology) ที่มีต่อมาตรฐานและคุณภาพของสถานศึกษา นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบหลักของการปฏิรูปการศึกษา จากช่วงเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน จะพบว่า IT หรือ ICT (Information and Communication Technology) ได้กลายมาเป็นปัจจัยหลักของระบบการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน และขยายออกไปสู่การใช้ในวิถีชีวิตปัจจุบันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในการจัดการเรียนการสอนนั้น “ครู” ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการออกแบบ การพัฒนา และการจัดการเรียนการสอน จะต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านนี้ด้วยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการ ศึกษาในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัยก็ตาม ดังนั้น บทความนี้จึงจะเสนอแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา (ETC : Educational Technology and Communications)และมาตรฐาน รวมทั้งตัวอย่างมาตรฐานสถานศึกษาต้นแบบการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ อีกทัศนะหนึ่ง ซึ่งสาระสำคัญดังกล่าวนี้ อาจนำไปประยุกต์เป็นแนวคิดพื้นฐาน และเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานด้าน ICT/ETC และเป็นบรรทัดฐานการกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับครูยุคใหม่ต่อไป

ความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา
นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เป็นต้นมา ระบบการศึกษา
ได้รับการปฏิรูปไปพร้อมๆ กับการปฏิรูประบบราชการ ในส่วนของการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษานั้น ได้มีการปฏิรูปอย่างครบถ้วนทั้งระบบ ทำให้เกิดความคาดหวังใหม่ทั้งในด้านมาตรฐานและคุณภาพของการศึกษา ประกอบกับบริบทด้านวิถีชีวิตในสังคมเปลี่ยนเข้าสูยุคเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ยากต่อการปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับเทคโนโลยีดังกล่าว เทคโนโลยีการศึกษาและการเรียนการสอนได้เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่จากการเน้นการใช้เทคโนโลยีการสอนสู่เทคโนโลยีการเรียนมากขึ้น การพัฒนาการเรียนการสอนได้ประยุกต์วิธีระบบสู่การปฏิบัติไปพร้อมๆ กับการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในระบบการเรียนมากขึ้นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลกระทบต่อระบบการจัดการเรียนการสอน “ครู” ในฐานะผู้จัดประสบการณ์และกิจกรรมการเรียนการสอน ต้องเรียนรู้และปฏิรูประบบการเรียนการสอนไปตามกระบวนการและความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว นั่นย่อมหมายความว่า มาตรฐานของครูย่อมจะต้องเพิ่มเติมในเรื่องขีดความรู้ความสามารถในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ครูต้องเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในส่วนของ ICT เพิ่มเข้าไปด้วยนั่นเอง
เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ เรื่อง “มาตรฐานด้านเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาสำหรับครูในศตวรรษที่ 21” งานโสตเทคโนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 วันที่ 1-2 ธันวาคม 2548รองศาสตราจารย์ ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา 
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กล่าวถึงเรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา ไว้ในหมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มาตรา 63-มาตรา 69 ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้
มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุ โทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่นเพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบการศึกษาตามอัธยาศัย การทะนุบำรุง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตามความจำเป็น
มาตรา 64 รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพัฒนาแบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยเร่งรัดพัฒนาชีพ ความ สามารถในการผลิต จัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาทั้งนี้โดยเปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
มาตรา 65 ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิตรวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
มาตรา 66 ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ทำได้ เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
มาตรา 68 ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจากเงินอุดหนุนของรัฐ ค่าสัมปทาน และผลกำไรที่ได้จากการดำเนินกิจการด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรประชาชน รวมทั้งให้มีการลดอัตราค่าบริการเป็นพิเศษในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว เพื่อการพัฒนาคนและสังคมหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อการผลิต การวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 69 รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผน ส่งเสริม และประสานการวิจัย การพัฒนาและการใช้ รวมทั้งการประเมินคุณภาพ และประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

นอกจากนั้น ใน แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2545-2559 ยังได้กำหนดเป้าหมาย และกรอบดำเนินการในนโยบายข้อ 10 การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และการพัฒนาประเทศ ดังนี้
  1.  เป้าหมาย จำนวน 2 ข้อ ได้แก่
1.1 มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของการศึกษาอย่างทั่วถึง และทัดเทียมกันทุกเขตพื้นที่การศึกษาที่มีความเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายอย่างมีระบบ

1.2 ประชาชนทุกคนเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและสามารถที่จะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการเพิ่มพูนความรู้และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพและการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขตามสมควร
2. กรอบดำเนินงาน จำนวน 4 ข้อ ได้แก่
2.1 ส่งเสริมหน่วยงานทุกระดับและสถานศึกษาทุกแห่งให้มีระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงและสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้
2.2 ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มคุณภาพของการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
2.3 ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ใช้และผู้ผลิตเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้มีจิตสำนึก มีจรรยาบรรณ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและผลิตสื่อเพื่อการศึกษาที่มีคุณภาพ
2.4 พัฒนาผู้รับและผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้มีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถเลือกสรรกลั่นกรอง และใช้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตามนัยของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะกล่าวถึงเรื่องวิธีการและเครื่องมือเพื่อพัฒนาการศึกษา ซึ่งจะประกอบไปด้วย สื่อมวลชน (Mass Media) โทรคมนาคม(Telecommunication) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) แหล่งการเรียน (Learning Resources) และสื่อโสตทัศน์ (Audiovisual Media)ในส่วนของเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีกระบวนการ (Process Technology) {ที่ประกอบด้วย การวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การทดลอง/การใช้ และการประเมิน} เทคโนโลยีเครื่องมือ (Product Technology) และเทคโนโลยีการบูรณาการ
กระบวนการและเครื่องมือ (Integration of Process and Product Technology) แนวคิดดังกล่าวอาจสรุปได้ว่าเป็นการประยุกต์วิธีระบบเข้าสู่การศึกษาและการเรียนการสอนนั่นเองความหมายและขอบข่ายของเทคโนโลยีการศึกษาดังกล่าวข้างต้น จะเป็นแนวคิดและแนวทางตลอดจนบรรทัดฐานในการกำหนดมาตรฐานด้าน ICT และ ETC สำหรับครูยุคปัจจุบันและอนาคตได้เป็นอย่างดี

มาตรฐานหรือคุณภาพ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า “มาตรฐาน” ไว้ว่าหมายถึง “สิ่งที่ถือเอาเป็นเกณฑ์ที่รับรองกันโดยทั่วไป เช่น เวลามาตรฐานกรีนิช สิ่งที่ถือเอาเป็นเกณฑ์สำหรับเทียบกำหนด ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น มาตรฐานอุตสาหกรรม หนังสือนี้ยังไม่เข้ามาตรฐาน” ตัวอย่างของมาตรฐานอาจจะขยายความต่อไปได้อีกมาก เช่น มาตรฐานขั้นต่ำของคนต้องมีอวัยวะ “ครบองค์ 32” มาตรฐานของบ้านต้องมีห้องน้ำ ห้องส้วม วัดต้องมีโบสถ์ โรงเรียนต้องมีห้องสมุดรถยนต์ต้องมีเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวต้องเป็นเกณฑ์ที่รับรองกันโดยทั่วไป ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
“คุณภาพ” หมายถึง “ลักษณะที่ดีเด่นของบุคคลหรือสิ่งของ ดังนั้น “คุณภาพ” จึงเป็นภาวะหรือสภาพที่เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์ ในทางธุรกิจและอุตสาหกรรม ถือว่าลูกค้าหรือผู้บริโภคเป็นบุคคลสำคัญจึงนิยามความหมายของคุณภาพว่า “คุณภาพ” คือ สภาพที่เป็นคุณประโยชน์และทำความพึงพอใจต่อลูกค้ามาตรฐานและคุณภาพมักจะควบคู่กันอยู่เสมอ มาตรฐานเป็นข้อกำหนดองค์ประกอบ ส่วนคุณภาพเป็นระดับของคุณค่าหรือประโยชน์ของแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างของมาตรฐานรถยนต์ทุกประเภทต้องมีกระจกทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังถ้ารถคันใดมีกระจกไม่ครบทุกด้านถือว่าไม่ได้มาตรฐาน คุณภาพของกระจกรถยนต์มีสูงต่ำหลายระดับ เช่น แตกแล้วกระจายออกทันที แตกแล้วไม่กระจายของแข็งกระทบก็ไม่แตก ยิงด้วยปืนก็ไม่แตก เป็นต้น มาตรฐานสูงจึงหมายถึง มีองค์ประกอบที่เป็นคุณประโยชน์เป็นจำนวนมาก คุณภาพสูง หมายถึง แต่ละองค์ประกอบและองค์รวมก่อให้เกิดคุณประโยชน์และความพึงพอใจในระดับสูง
มาตรฐานและคุณภาพการศึกษาอันเป็นผลรวมหรือจุดหมายปลายทาง ได้แก่ ผู้เรียนมีคุณภาพ คือเป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เช่น มีความรู้ มีความสามารถ เฉลียวฉลาด คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น มีคุณธรรม เป็นพลเมืองดี ทำงานเป็น มีอาชีพ พึ่งตนเองได้ เผื่อแผ่ผู้อื่น และเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นต้น ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางดังกล่าว กระบวนการจัดการศึกษาต้องมีมาตรฐาน และคุณภาพ หลายด้าน เช่น นโยบายและแผนการศึกษา ระบบการศึกษา ระบบบริหารและการจัดการศึกษาครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมเพื่อการศึกษา หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน วัสดุอุปกรณ์และสื่อเทคโนโลยีการศึกษา การวัดและประเมินผลการศึกษา และงบประมาณและทรัพยากรเพื่อการศึกษา ทั้ง 9 เรื่องนี้จะต้องมีมาตรฐานและคุณภาพที่เป็นคุณประโยชน์ ทำความพึงพอใจต่อทุกฝ่ายทั้งฝ่ายผู้เรียน ผู้สอน ผู้จัดการ ผู้บริหาร ผู้ปกครองของผู้เรียน ผู้ใช้บริการและประชาชนในฐานะผู้เสียภาษี และผู้เป็นสมาชิกของสังคมและของชาติ

มาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ ICT พัฒนาการเรียนรู้

กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดมาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษา (โรงเรียน) ต้นแบบการใช้ ICTเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ขึ้น 5 ด้าน รวม 17 มาตรฐาน ดังนี้
1. ด้านการบริหารจัดการภายในสถานศึกษา
1.1 มีแผนพัฒนาด้าน ICT ระยะกลาง (3-5 ปี) และแผนพัฒนาด้าน ICT ที่อยู่ในแผนปฏิบัติการประจำปีมีระบบเครือข่าย Intranet/LAN ในสถานศึกษา
1.2 มีอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนตามศักยภาพของสถานศึกษา
1.3 มีซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับใช้ในสถานศึกษาที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์
2. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
2.1 มีแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ ICT เป็นเครื่องมือและได้จัดการเรียนรู้ตามแผนฯ ที่กำหนด
2.2 ครูสามารถใช้ ICT เป็นเครื่องมือในการออกแบบและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.3 มีรูปแบบการเรียนรู้ด้วย ICT ที่หลากหลายหรือตามแนวทางที่สถาบันพี่เลี้ยงกำหนด
3. ด้านการจัดการเรียนการสอน
3.1 นักเรียนได้เรียนรู้จากการใช้ ICT เป็นเครื่องมือในรูปแบบที่หลากหลายในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้และได้ทำกิจกรรมต่างๆ โดยใช้ ICT ตามความสนใจของนักเรียน
3.2 นักเรียนมีทักษะการใช้ ICT ในการเรียนรู้ สามารถสร้างสรรค์และนำเสนอผลงานที่ได้จากการใช้ ICT เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
3.3 นักเรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดและคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนสูงขึ้น
4. ด้านกระบวนการเรียนรู้
4.1 มี Web site ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน
4.2 มีการจัดทำระบบ Knowledge Management ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
4.3 มีการจัดรวบรวมสื่อ นวัตกรรมการเรียนการสอนด้วย ICT อย่างเป็นระบบ / จัดเป็นคลัง/แหล่งเรียนรู้/ศูนย์สื่อ ICT หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-Library) ฯลฯ ตามศักยภาพของสถานศึกษา
5. ด้านทรัพยากรการเรียนรู้
5.1 มีแผนพัฒนาด้าน ICT ระยะกลาง (3-5 ปี) และแผนพัฒนาด้าน ICT ที่อยู่ในแผนปฏิบัติการประจำปี
5.2 มีการสนับสนุนงบประมาณด้าน ICT เพื่อการเรียนการสอน
5.3 ส่งเสริมให้มีการประสานเครือข่ายจากชุมชน องค์กรภาครัฐและเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนด้าน ICT ที่ต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน
5.4 ผู้บริหารโรงเรียนดำเนินการให้มีระบบการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานและรายงานผลเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
5.5 เป็นสถานศึกษาต้นแบบการใช้ ICT ให้กับโรงเรียนอื่นๆ มาศึกษาดูงาน นอกจากนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำคู่มือการประเมินสถานศึกษาที่พัฒนาเป็นต้นแบบการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ โดยมีข้อตกลงว่า
1. เป็นการประเมินตนเองของสถานศึกษาตามมาตรฐานขั้นต่ำ การพัฒนาสถานศึกษาต้นแบบการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ โดยคณะกรรมการระดับโรงเรียน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่สถานศึกษาตั้งอยู่ ซึ่งคณะกรรมการประเมินต้องมีไม่น้อยกว่า 3 คน ในสถานศึกษาขนาดเล็ก-กลางที่มีนักเรียนน้อยกว่า 1,000 คน และ 5 คน ในสถานศึกษาขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนมากกว่า 1,000 คนโดยประเมินตามมาตรฐานขั้นต่ำ รวม 17 มาตรฐาน
2. เป็นการประเมินตามกรอบมาตรฐาน 15 ข้อ ในช่วงปีการศึกษา 2547 และนำผลการประเมินมาปรับปรุง แก้ไขและพัฒนา โดยจะมีการกำหนดเกณฑ์และเป้าหมายการประเมินใหม่อีกครั้งในปีต่อไปมาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษา (โรงเรียน) ต้นแบบการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ทั้ง 5 ด้าน รวม 17 มาตรฐานดังกล่าวมานี้ เป็นแรงผลักดันอีกประการหนึ่งที่ต้องมีการกล่าวถึง การกำหนดมาตรฐานด้าน ICT สำหรับครูขึ้นมาควบคู่กัน

มาตรฐาน ICT/ETC สำหรับครูยุคใหม่
ดังได้กล่าวในตอนต้นเกี่ยวกับความหมาย และขอบข่ายของคำว่า มาตรฐาน คุณภาพ และเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา รวมทั้งมาตรฐานการพัฒนาสถานศึกษาในการใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ จะพบว่า สาระสำคัญเกี่ยวกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษานั้น เป็นทั้งวิธีการและเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนการสอน โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษานั้น ทำให้สามารถจัดการศึกษาและการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง และหลากหลายรูปแบบได้มากขึ้นตามมาตรา 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ทั้ง 6 ข้อที่ว่ามาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
(2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
(3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็นทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
(4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกันรวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
(6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
มาตรา 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ไม่ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีการเรียนการสอนโดยตรง แต่ได้กล่าวถึงเรื่อง “การจัดกระบวนการเรียนรู้” ซึ่งเมื่อวิเคราะห์รายละเอียดแล้วจะพบว่า“การจัดกระบวนการเรียนรู้” ดังกล่าวนั้น ก็คือ “เทคโนโลยีการเรียนการสอน” นั่นเอง ซึ่งเมื่อนำไปสังเคราะห์กับหมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ทุกมาตรา ยิ่งจะเห็นภาพชัดเจนถึงความจำเป็นที่ครูผู้สอนต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ ICT/ETC มากขึ้น สำหรับในต่างประเทศนั้น ได้มีหลายประเทศและหลายองค์การ ได้กำหนดมาตรฐานด้าน
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาสำหรับครู เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา Maryland State Department of Education ได้กำหนด Maryland Teacher Technology Standards ขึ้น จำนวน 7 มาตรฐาน ผู้อ่านสามารถเข้า ไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.smcm.edu/msde-pt3/projects.htm
นอกจากนั้น สมาคมเทคโนโลยีในการศึกษานานาชาติ (International Society of Technology in Education) ยังได้เสนอมาตรฐานเทคโนโลยีการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งครอบคลุมในเรื่องมาตรฐานเกี่ยวกับ ICT/ETC สำหรับครูไว้ด้วยเช่นกัน รายละเอียดดูได้ที่ http://www.iste.org/ ดังนั้น มาตรฐานด้าน ICT/ETC สำหรับครูยุคใหม่ จึงควรพิจารณาจากขอบข่ายของเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นสำคัญ ซึ่งสาระสำคัญควรอยู่ในกรอบแนวคิด 3 ประการ ดังนี้
1. มาตรฐานด้านพุทธิพิสัย ควรประกอบไปด้วยความรู้ความเข้าใจ และความสามารถในการประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่าของ ICT/ETC เพื่อพัฒนาระบบการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
2. มาตรฐานด้านทักษะพิสัย ควรประกอบไปด้วย ความสามารถในการใช้ (Operate) เครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ที่จำเป็นและเหมาะสมต่อการใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้
3. มาตรฐานด้านจิตพิสัย เนื่องจาก ICT/ETC เป็นมรรค (Mean) ผล (End) จึงขึ้นอยู่กับการใช้ICT/ETC นั้นๆ และผู้ใช้ก็คือคน หรือทั้งครูและผู้เรียน ดังนั้น ผู้ใช้จึงควรมีมาตรฐานด้านจริยธรรมคุณธรรม และจรรยาบรรณ เป็นอย่างดี

สรุป

มาตรฐาน ICT/ETC สำหรับครูยุคใหม่ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นว่า สาระสำคัญของมาตรฐานจะขึ้นอยู่กับความหมายและขอบข่ายของเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 2 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ 1) มาตรฐานและคุณภาพ และ 2) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และเทคโนโลยีการศึกษาซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์สังเคราะห์แล้ว จะทำให้ได้แนวคิดและแนวทางในการกำหนดมาตรฐานด้านICT/ETC สำหรับครูยุคใหม่ได้ 3 ด้าน ได้แก่ 1) มาตรฐานด้านพุทธิพิสัย 2) มาตรฐานด้านทักษะพิสัย และ 3) มาตรฐานด้านจิตพิสัย ผู้เขียนขอฝากแนวคิดนี้ไว้ให้นักการศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปคิดพิจารณา เพื่อกำหนดเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการพัฒนาวิชาชีพครูของเราต่อไป

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ระบบตัวเลข (Number System)

1.กล่าวนำ
ระบบตัวเลขที่เราได้ใช้กันมาตลอดตั้งแต่ที่เราจำความกันได้นั้น จะประกอบไปด้วยเลข 10ตัว คือ เลข 0,1,2,3,4,5,6,7,8,9 ซึ่งมนุษย์เราได้ใช้ระบบการนับเหล่านี้มาใช้ในการสื่อสาร บอกปริมาณ ขนาด ทำให้ทุกคนสามารถมีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย ซึ่งระบบเลขนี้คือระบบเลขฐานสิบนั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนามาเป็นอย่างมาก ซึ่งหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้น จะมีลักษณะการทำงานภายในเพียง 2 จังหวะเท่านั้น คือ ON และ OFF ในลักษณะของวงจรสวิทชิ่งนั้นเอง จากลักษณะการทำงานของสวิทชิ่งนั้น เราสามารถนำระบบเลขฐานสองมาประยุกต์ใช้ในการสื่อความหมายแทนคำว่า ON และ OFF ของวงจรสวิทชิ่ง เนื่องจากเลขฐานสองจำนวนหลาย ๆ หลัก เมื่อนำมาสื่อความหมายแล้วจะทำให้เกิดความสับสนในการสื่อความซึ่งกันและกัน จึงเป็นการไม่สะดวกนักในการใช้เลขฐานสองเพียงอย่างเดียว เราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาระบบเลขฐานอื่น ๆ ซึ่งมีความสะดวกในการสื่อความหมายและจะต้องมีความสะดวกในการแปลงค่ากับเลขฐานสอง ระบบเลขที่เรานิยมนำมาใช้คือระบบเลขฐานแปดและฐานสิบหกนั่นเอง

 2.ระบบตัวเลข (Number System)
ระบบตัวเลขในแต่ละระบบจะมีจำนวนตัวเลขโดด (Digit) เท่ากับชื่อของระบบตัวเลขฐานนั้น ๆ ได้แก่
ระบบเลขฐานสอง (Binary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 2 ตัว คือ 0 และ 1
ระบบเลขฐานห้า (Quinary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 5 ตัว คือ 0, 1, 2, 3 และ 4 ระบบเลขนี้นิยมแพร่หลายในพวกเอสกิโม (Eskimos) และอินเดียนในอเมริกาเหนือ
ระบบเลขฐานแปด (Octal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 8 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7
ระบบเลขฐานสิบ (Decimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 10 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และ 9
ระบบเลขฐานสิบสอง (Duodecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 12 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, a และ b ซึ่งระบบเลขฐานสิบสองนี้จะเห็นได้จากนาฬิกา นิ้วและฟุต โหลและกุรุส
ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 16 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, D, E และ F

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เบนจามิน แฟรงคลิน

เบนจามิน แฟรงคลิน (อังกฤษ: Benjamin Franklin) (17 มกราคม ค.ศ. 1706 [O.S. 6 มกราคม ค.ศ. 1705]– 17 เมษายน ค.ศ. 1790) เป็นหนึ่งในแกนนำผู้ก่อตั้ง (Founding Fathers) ของสหรัฐอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลิน เป็น ช่างพิมพ์ คนเรียงพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักปฏิรูป และนักการทูต คนสำคัญในยุคแสงสว่างของสหรัฐอเมริกา
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เขามีผลงานหลายอย่างในด้านฟิสิกส์ ผลงานที่สำคัญคือคิดค้นสายล่อฟ้า และผลงานอื่นเช่นแว่นไบโฟคอล เตาแฟรงคลิน และฮาร์โมนิกาแก้ว เขาเป็นผู้เริ่มก่อตั้งห้องสมุดแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา และก่อตั้งสถานีดับเพลิงแห่งแรกในรัฐเพนซิลเวเนีย ผลงานในฐานะนักการเมืองเขาเป็นนักเขียนและผู้นำการเคลื่อนไหวคนสำคัญไปสู่การแยกตัวออกจากอาณานิคมและร่วมก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกา ในฐานะนักการทูต เขาได้เป็นทูตคนสำคัญในช่วงปฏิวัติอเมริกาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนำไปสู่การแยกตัวของประเทศจากอาณานิคมของอังกฤษในที่สุด
แฟรงคลินเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นนักเรียงพิมพ์ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งสร้างความมั่งคั่งจากหนังสือ Poor Richard's Almanack และหนังสือพิมพ์เพนน์ซิลเวเนียแกเซตต์ (Pennsylvania Gazette) แฟรงคลินมีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีชื่อเสียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกคนหนึ่ง นอกจากนี้เขาได้เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และวิทยาลัยแฟรงคลินแอนด์มาร์แชลล์ เขายังได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสมาคมปรัชญาอเมริกา
จากผลงานของแฟรงคลินทั้งในด้านวิทยาสาสตร์และการเมือง เขาได้ถูกยกย่องและกล่าวถึงในหลายด้าน เขาปรากฏในธนบัตรของสหรัฐอเมริกา (100 ดอลลาร์สหรัฐ) ชื่อของเขายังปรากฏเป็นชื่อ เมือง เคาน์ตี สถานศึกษา และผลงานอีกหลายด้านยังมีการกล่าวถึงตราบจนปัจจุบัน

ประวัติวัยเยาว์
เบนจามิน แฟรงคลินเกิดที่เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1706 ที่บ้านตรงถนนมิลค์ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และได้รับการแบปติสต์ที่โอลด์เซาธ์มีตตีงเฮาส์ เบนเป็นลูกคนที่ 15 ของบ้านจาก 17 คน พ่อของเบนชื่อ โยซีอาห์ แฟรงคลิน (Josiah Franklin) พ่อค้าขายเทียนและสบู่ในเมืองบอสตัน แม่ของเขาชื่อ อาบีอาห์ โฟรเยอร์ (Abiah Folger) ภรรยาคนที่สองของบ้าน เขาได้รับการศึกษาในเมืองที่โรงเรียนบอสตันลาติน แต่เนื่องจากสภาวะการเงินของทางบ้านไม่ดี จึงได้ออกจากโรงเรียนและมาช่วยกิจการที่บ้านเมื่ออายุได้ 10 ปี สองปีต่อมาเขาได้เข้าฝึกงานกับพี่ชายในฐานะช่างพิมพ์ จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 15 ปี เขาได้พยายามส่งงานเขียนของเขาไปที่สำนักพิมพ์หลายแห่ง แต่ได้ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งเขาได้เขียนงานและใช้นามแฝงในชื่อ นางไซเลนซ์ ดูกู๊ด (Mrs. Silence Dogood) ซึ่งงานเขียนของเขาได้เป็นที่รู้จักและถูกกล่าวขานทั่วเมือง แต่ในที่สุดก็โดนจับได้จากพี่ชาย ส่งผลให้เบ็นได้ออกจากบ้านที่บอสตัน และเดินทางมายังฟิลาเดลเฟีย เพื่อเปิดกิจการโรงพิมพ์เป็นของตัวเอง โดยเริ่มต้นจากการตีพิมพ์หนังสือ เกี่ยวกับข่าวสารและความรู้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปลี่ยนมาพิมพ์ หนังสือประเภทปฏิทินพิสดาร (Almanac) ใช้ชื่อว่า Poor Richard โดยเขาเป็นผู้เขียนบทความ ลงในหนังสือเองด้วยนามปากกา Richard Sander
เมื่อกิจการดำเนินไปได้ด้วยดี เขาจึงหันมาทำงานเพื่อสังคมบ้าง ด้วยการจัดตั้งห้องสมุดสาธารณะในเมือง และเล่นการเมือง ระหว่างนั้นเอง ที่ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยังประเทศต่างๆ จนกระทั่งได้พบกับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทำการทดลองเกี่ยวกับประกายไฟฟ้า เบนจามินจึงเกิดความสนใจ เรื่องปรากฎการณ์ ทางธรรมชาติของฟ้าแลบ ฟ้าผ่าและฟ้าร้องขึ้นมา
โดยเขาได้สันนิษฐานการเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ว่าน่าจะเกิดจากประจุไฟฟ้าบนท้องฟ้า เบนจามิน จึงทำการทดลองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2292 โดยใช้ว่าวที่ทำด้วยผ้าแพรแทนกระดาษ ที่มีเหล็กแหลมติดอยู่ที่ตัวว่าว ส่วนปลายสายป่านผูกลูกกุญแจไว้ และผูกริบบิ้นไว้กับสายป่านอีกทีหนึ่ง ทำให้ว่าวของเขากลายเป็นตัวนำไฟฟ้า เมื่อมีฝนตกทำให้สายผ่านเปียก ปรากฎว่ามีประจุไฟฟ้า ไหลลงมาทางเชือกเข้าสู่ลูกกุญแจ แต่เขาไม่ได้รับอันตราย เนื่องจากจับริบบิ้น ซึ่งเป็นฉนวนไฟฟ้าไว้ จากผลการทดลอง สามารถสรุปได้ว่า เกิดขึ้นจากประจุไฟฟ้าบนท้องฟ้า ที่เกิดจากการเสียดสี ระหว่างก้อนเมฆกับอากาศ ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต
หลังจาการค้นพบประจุไฟฟ้าในอากาศ เมื่อปี พ.ศ.2295 แฟรงคลินจึงประดิษฐ์สายล่อฟ้าขึ้น สำเร็จเป็นครั้งแรก เพื่อระบายประจุไฟฟ้าในอากาศบนหลังคา ซึ่งการตั้งสายล่อฟ้าบนหลังคา คนมักเรียกกันติดปากว่า Franklin's Rod โดยเขาไม่ได้นำผลงานชิ้นนี้ไปจดสิทธิบัตร เพราะต้องการให้ทุกคนสามารถทำใช้กันเองได้ และจากผลงานสายล่อฟ้า ทำให้เขาได้รับเชิญ ให้เป็นสมาชิกของราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน (Royal Society of London)
นอกจากนี้เบนจามิน ยังมีผลงานมากมาย ทั้งการเป็นนักเขียน นักการทูต นักการเมือง และนักหนังสือพิมพ์ จนได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นรัฐบุรุษคนสำคัญของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเขาเป็นผู้หนึ่ง ที่ทำให้ประเทศหลุดพ้น จากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และยังเป็นผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพอีกด้วย รวมทั้งยังเป็นผู้หนึ่ง ที่ได้ลงนามในสัญญาสันติภาพ ถึงแม้ว่าเขา จะไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญทางการเมือง แต่เขาก็ยังเป็นบุคคลสำคัญ ของสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง
  อีกทั้งเบนจามิน ยังมีความรอบรู้ เรื่องการเกษตร โดยเป็นคนแรก ที่นำวิธีการโรยปูนขาว แก้ความเป็นกรดของดิน มาแนะนำให้กับเกษตรกรภายหลังจากการเสียชีวิตในปี พ.ศ.2333 ทรัพย์สินของเขาส่วนหนึ่ง ได้ถูกนำไปสร้างสาธารณประโยชน์ เช่น โรงเรียน บ้านเรือนในบอสตัน และฟิลลาเดเฟีย รวมทั้งพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แฟรงคลิน (Franklin Institute Science Museum) และในปี พ.ศ.2443 เขาได้รับการยกย่อง จากสถาบันแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ในฐานะบุคคลผู้สร้างคุณประโยชน์ ให้กับบ้านเมือง


ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/เบนจามิน_แฟลงคลิน
          http://www.pakxe.com/jl_pakse/index.php?option=com_content&view=article&id=1847&catid=524:2010-07-31-05-37-19&Itemid=63

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

AMD FX-9590 ซีพียู 8 คอร์ 5GHz ตัวแรกของโลก

     ใครที่กำลังรอซีพียูในตระกูล FX ของเอเอ็มดีตอนนี้ก็คงจะสมใจกันแล้วนะครับ เมื่อเอเอ็มดีได้เปิดตัวซีพียู AMD FX-9590 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยซีพียูรุ่นนี้มีความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงถึง 5GHz เมื่อทำงานในโหมด Turbo ซึ่งถือว่าเป็นซีพียูมีใช้ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาสูงที่สุดในโลกตอนนี้ก็ ว่าได้ อันนี้หมายถึงซีพียูสำหรับพีซีทีเราประกอบกันขึ้นมานะครับ ไม่นับซีพียูอื่น ๆ แล้วก็ยังไม่นับพวกโอเวอร์คล๊อก
     AMD FX-9590 ใช้สถาปัตยกรรม Piledriver มีคอร์ประมวลผล 8 คอร์ ทำงานที่สัญญาณนาฬิกา 4.7GHz และทำงานที่ 5GHz ในโหมด Turbo ซีพียูรุ่นนี้มาพร้อมกับคุณสมบัติ Unlocked หรือไม่มีการล๊อกตัวคุณของสัญญาณนาฬิกาทำให้ซีพียูรุ่นนี้สามารถโอเวอร์ คล๊อกให้มีความเร็วสูงขึ้นได้อีก แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของชุดระบายความร้อนที่ใช้ด้วย นอกจาก AMD FX-9590 แล้วเอเอ็มดีก็ยังเปิดตัวซีพียู FX อีกรุ่นก็คือ AMD FX-9370 ซีพียูรุ่นนี้จะมีสัญญาณนาฬิกาลดลงมาเล็กน้อยคือทำงานในโหมด Turbo ที่ 4.7GHz ส่วนความเร็วปกติจะอยู่ที่ 4.4GHz

  

     แม้ AMD จะไม่ใช่จ้าวตลาด และมีส่วนแบ่งตลาดไม่มากนัก เมื่อเทียบกับผู้นำตลาด แต่หากมองย้อนกลับไป AMD เป็นบริษัทที่พยายามเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในการพัฒนาซีพียูตลอดเวลา อย่างเช่น การเป็นผู้ผลิตรายแรกที่สามารถพัฒนาซีพียูที่มีความเร็วทะลุ 1GHz เมื่อในเดือนพฤษภาคมปี 2000 และยังคงมีนวตกรรมการผลิตใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง การเป็นผู้ผลิตชิปที่ทำงานเข้ากันได้ดีกับ Windows เวอร์ชัน 64 บิทเป็นรายแรก แถมยังเป็นผู้ผลิตชิปดูอัลคอร์ และควอดคอร์เป็นรายแรกอีกด้วย นอกจากนี้ AMD เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่แนะนำ APU (รวม CPU กับชิปกราฟิก Radeon เข้าไปในชิปเดียวกัน) เป็นรายแรกอีกเช่นกัน และที่พลาดไม่ได้ก็คือ ล่าสุดในงาน E3 ทาง AMD ก็ได้ออกซีพียูตระกูล FX ถึงสองรุ่นที่มีความเร็วสูงสุดในตลาดอีกด้วย นั่นคือ FX-9590 ความเร็ว 5GHz และ FX-9370 ความเร็ว 4.7GHz โดยทั้งคู่เป็นซีพียู 8 คอร์ บนสถาปัตยกรรม Piledriver









 ที่มา : http://www.quickpcextreme.com/blog/?p=17948
          http://www.arip.co.th/news.php?id=416852

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาษาลาว

                        ไทย                                 ลาว
***************************************************************
ร้านขายของ                                  = ร้านขายประเวณี
กระดาษทิชชู่                                 = ผ้าอนามัย
ถุงยางอนามัย                                = เสื้อกันฝนตัวน้อย
ถุงยาง                                         = ถุงพลาสติก
ถุงเท้า                                         = ลองเท้า
รองเท้า                                        = เกิบ
รองเท้าฟุตบอล หรือ สตั๊ด                 = เกิบมีตุ่ม
โทรทัศน์                                      = โทละพาบ
จรวด                                           =ลูกศรไฟ
ว่ายน้ำ                                         = ลอยน้ำ
ประทับใจ                                     = ออนซอน
การรายงานและรับรายงาน                = ส่องแสง
ฉัน                                            = ข้อย
ทำ                                             = เฮ็ด
ช่วย                                           = ซอยเหลือ
พูดคุยหรือการสนทนา                    = โอ้โลม
ไม่กลัว                                       = บ่ย่าน
วันนี้                                          = มื่อนี้
กี่โมงแล้ว                                   = จั๊กโมงแล้ว
พริก                                          = หมากเผ็ด
ผลไม้                                        = หมากไม้
น้อยหน่า                                    = หมากเขียบ
ข้าวต้ม                                     = ข้าวเปียก
ฉันรักเธอ                                    = ข้อยฮักเจ้า
สนุกสนาน                                  = ม่วนซื่น
ผงซักฟอก                                   = สบู่ฝุ่น
รักมาก                                     = ฮักแฮง
ไดโนเสาร์                                = กะปอมหลวง

ท=คำไทย                                       ล=คำลาว จ้า
ท : Superman                                ล : บักอึดถลาลม
ท : Face Off                                   ล : หน้าข้อยอยู่ปู๊น หน้าเปิ้นอยู่นี่
ท : Speed                                       ล : เบรกบ่อยู่
ท : สองสิงห์ชิงบัลลังก์                       ล : สองสิงห์ชิงตั่งนั่ง
ท : รักจริงๆ ให้ดิ้นตาย                        ล : ฮักคักคัก ชักแงกแงก
ท : โลกทั้งใบให้นายคนเดียว               ล : โลกโม้ดม้วยให้โต๋ผู้ เดียว
ท. ไททานิค                                     ล: ชู้รักเรือ ล่ม
ท. ศรราม ออกอัลบั้ม อย่างนี้ต้องตีก้น    ล: ศ่อนฮาม ออกแผงอย่างนี่ต้องตีดากกกกก
ท. ห้องผ่าตัด                                   ล. ห้องปาด
ท.หลอด ฟลูออเรสเซนต์                     ล. ข้าวหลามแจ้ง
ท. รถไฟ                                          ล.ห้องแถว ไหล

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตัวชี้วัด การงานอาชีพและเทคโนโลยี ม.2

สาระที่ ๑ การดำรงชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน ง๑. ๑ เข้าใจการทำงาน  มีความคิดสร้างสรรค์   มีทักษะกระบวนการทำงาน  ทักษะการจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา  ทักษะการทำงานร่วมกัน  และทักษะการแสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม  เพื่อการดำรงชีวิตและครอบครัว
ตัวชี้วัด
๑.ใช้ทักษะการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา การทำงาน
๒.ใช้ทักษะกระบวนการแก้ปัญหาในการทำงาน
๓.มีจิตสำนึกในการทำงานและใช้ทรัพยากรในการปฏิบัติงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า

สาระที่ ๒ การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง๒. ๑  เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี  ออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้ หรือวิธีการ  ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์   เลือกใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต  สังคม สิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายกระบวนการเทคโนโลยี
๒.สร้างสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างปลอดภัย ออกแบบโดยถ่ายทอดความคิดเป็นภาพร่าง ๓ มิติ หรือภาพฉาย เพื่อนำไปสู่การสร้างต้นแบบของสิ่งของเครื่องใช้ หรือถ่ายทอดความคิดของวิธีการเป็นแบบจำลองความคิดและการรายงานผล เพื่อนำเสนอวิธีการ
๓.มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการ ในงานที่ผลิตเอง
๔.เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม และมีการจัดการเทคโนโลยีด้วยการลดการใช้ทรัพยากรหรือเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สาระที่ ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มาตรฐาน ง๓. ๑ เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้   การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน  และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีคุณธรรม
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายหลักการเบื้องต้นของการสื่อสารข้อมูล  และเครือข่ายคอมพิวเตอร์
๒.อธิบายหลักการ และวิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
๓.ค้นหาข้อมูล และติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์  อย่างมีคุณธรรมและ จริยธรรม
๔.ใช้ซอฟต์แวร์ในการทำงาน

สาระที่ ๔ การอาชีพ  
มาตรฐาน  ง๔.๑ เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ  ใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาอาชีพ  มีคุณธรรม และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายการเสริมสร้างประสบการณ์อาชีพ
๒.ระบุการเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ
๓.มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพที่สนใจ

ตัวชี้วัด การงานอาชีพและเทคโนโลยี ม.1

สาระที่ ๑ การดำรงชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน ง๑. ๑ เข้าใจการทำงาน  มีความคิดสร้างสรรค์   มีทักษะกระบวนการทำงาน  ทักษะการจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา  ทักษะการทำงานร่วมกัน  และทักษะการแสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม  เพื่อการดำรงชีวิตและครอบครัว
ตัวชี้วัด
๑.วิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานตามกระบวนการทำงาน
๒.ใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงานด้วยความเสียสละ
๓.ตัดสินใจแก้ปัญหาการทำงานอย่างมีเหตุผล

สาระที่ ๒ การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง๒. ๑  เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี  ออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้ หรือวิธีการ  ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์   เลือกใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต  สังคม สิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
ตัวชี้วัด
-

สาระที่ ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มาตรฐาน ง๓. ๑ เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้   การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน  และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีคุณธรรม
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายหลักการทำงาน บทบาทและประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
๒.อภิปราย ลักษณะสำคัญ และผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
๓.ประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ

สาระที่ ๔ การอาชีพ  
มาตรฐาน  ง๔.๑ เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ  ใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาอาชีพ  มีคุณธรรม และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ
ตัวชี้วัด
๑.อธิบายแนวทางการเลือกอาชีพ
๒.มีเจตคติที่ดีต่อการประกอบอาชีพ
๓.เห็นความสำคัญของการสร้างอาชีพ

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กฎทอง 10 ข้อของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ

By lackana

หลายท่านคงจะทราบว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกเมื่อปี 2008 โดยมีทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 2.2 ล้านล้านบาท แต่ในปีนี้โดน บิล เกตส์ แย่งตำแหน่งไป เพราะทรัพย์สินโดยรวมของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ลดลงเก้าแสนล้านบาท คงเหลือ 1.3 ล้านล้านบาท ถึงแม้ทรัพย์สินของ บิล เกตส์ ก็ลดลงเช่นกัน แต่ลดลงในจำนวนที่น้อยกว่าวอร์เรน คือ ลดลงเพียงหกแสนกว่าล้านบาท ทำให้ปีนี้บิลเกตส์กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกแทน โดยวอร์เรนตกลงมาอยู่ที่อันดับสองของโลกแทน สำหรับคนทั่วไป อย่าว่าแต่ติดอันดับเลย แค่ขอให้พอกินพอใช้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว วอร์เรนได้ให้ข้อคิดเคล็ดลับความร่ำรวยของเขากับคนที่กำลังประสบความลำบากเกี่ยวกับวิกฤตการเงินขณะนี้อย่างน่าสนใจมาก เขาบอกให้ทุกคนให้พยายามทำตามกฎเหล็กเก้าข้อ ที่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้มาแต่โบราณ แต่มักจะลืมและไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์

กฎทอง 10 ข้อ ของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ ได้แก่

1. ต้องทำงานหนัก สำหรับวอร์เรนแล้ว เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะนำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า “อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย” จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้
2. อย่าขี้เกียจ เขาได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ว่า “ขนาดกุ้งมังกรตัวโตๆ ถ้ามัวแต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้” หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน
3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการหวังพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำให้ทำการลงทุนที่ฉลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่นถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามาในแต่ละเดือนได้ด้วย
4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มจ่ายเงินซื้อสิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริงๆ คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจต้องขายสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดแทน ดังนั้นคิดและตั้งสติก่อนที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ
5.ตั้งใจออม เขาเน้นว่าเราอย่ารอเก็บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย ข้อนี้ลึกมากนะคะ หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องกันออกมาออมก่อนจะไปทำอย่างอื่น
6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้สร้างสิน เพียงแค่ต้องการมีทรัพย์สินให้เหมือนกับคนอื่น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว
7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน” นั่นคือต้องอย่าทำให้มีจุดรั่วไหลของบัญชี
8. หมั่นตรวจสอบ เขาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ  จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็กๆ แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ
9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่าที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่าเราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อมๆ กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยงเราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด
10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลงทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนอย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้นเราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้

ข้อคิดเหล่านี้ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นประโยชน์มากสำหรับการดำเนินชีวิตของนักธุรกิจ นักการตลาด หรือแม้กระทั่งมนุษย์เงินเดือนทั่วไป เพราะสิ่งที่เขาพูดหลายข้อก็คล้ายกับสิ่งที่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือครูบาอาจารย์ ของเราเคยสั่งสอนกันต่อๆ มา ดังนั้นดิฉันหวังว่ากฎทองแห่งความสำเร็จสิบข้อของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นี้คงจะมีประโยชน์กับพวกเราทุกคนไม่มากก็น้อย ไม่ต้องเป็นมหาเศรษฐีโลกอย่างเขาหรอก แค่เพียงเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

นักการเมืองยื่นปลา... พระราชายื่นเบ็ด
นักการเมืองแจกแท็บเล็ต... กษัตริย์แนะเคล็ดวิชา
นักการเมืองห่วงอำนาจ... มหาราชห่วงประชา
นักการเมืองสร้างสัญญา... องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม
นักการเมืองหาเรื่องกิน... องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ
นักการเมืองยุให้รำฯ... ในหลวงย้ำให้ทำดี
นักการเมืองมักแบ่งขั้ว... องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี
นักการเมืองทำสี่ปี... องค์ภูมีทำทุกวัน
นักการเมืองชอบแบ่งเสียง...พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน
นักการเมืองคิดสั้น... องค์ราชันย์คิดยาว

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ใช้ Server ประกอบไม่ได้เหรอ

มาดูจุดต่างกันเลยดีกว่าว่าความต่างเป็นอย่างไร
การรับประกัน : 
            สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุดคือ การรับประกัน ถ้าเราดูสถิติการใช้เงินของลูกค้าแล้ว ยอดการใช้จ่ายจากการบำรุงรักษา Server นั้นยอดสูงมากทีเดียว คุณลองคิดจิตนาการดูว่า หาก Server ประกอบที่คุณซื้อมาเสียนอกเวลา Office Time นั้นคือตั้งแต่ 20.00 - 10.00 น. คุณจะปรึกษาใคร นี่คือ System Down เป็นเวลากว่า 14 ชม. จะเห็นว่านานเหลือเกิน นี่ยังไม่รวมวันหยุดที่จะต้องหยุด 1 วันเต็มๆต่อ 1 อาทิตย์ และยังไม่รวมวันหยุดประจำปีต่างๆอีกมากมาย
            แล้วลองคิดต่อว่า หาก Server คุณมีปัญหา คุณจะอยากได้บริการถึงที่หรือไม่ สำหรับเครื่องประกอบอาจจะมี Onsite แต่เมื่อ Onsite ถึงที่ก็ต้องมาดูอีกว่าอะไรเสียเพราะระบบ Alert ต่างๆไม่มี แล้วก็ต้องกลับไปเอาสินค้าที่เสียมาเปลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้น หากสินค้าตัวนั้นตกรุ่นไปแล้ว ไม่มีใน Stock ก็ต้องสั่งรออีกร่วมอาทิตย์ ดังนั้นคุณจะเห็นว่าความต่างของสินค้าเพียงไม่เท่าไร เทียบกับความเสียหายของ Downtime ที่เกิดขึ้นในธุรกิจของคุณ คงเทียบกันไม่ได้เลย
            แล้วคำถามคือ แล้วเครื่อง Brand ประกันแบบไหนล่ะ คำตอบคือ Onsite Service ถึงที่ ที่เครื่องมี Alert บอกว่าอุปกรณ์ตัวไหนเสีย วิ่งมาเอาตัวนั้นมาเปลี่ยนเลย ไม่ต้องรอเช็คก่อนว่าอะไรเสีย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีบริการ Onsite Service ภายใน 2 ชม. ตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุด คุณจะเสียวันปีใหม่ตี 1 เขาก็จะ Response คุณภายในตี 3 เลยว่างั้น ถ้าระบบซีเรียสก็สามารถซื้อประกันระดับนี้เพิ่มเติมได้ และยังรับประกันทั่วประเทศอีกต่างหาก ไม่ต้องไปเสี่ยงว่าซื้อประกอบไปแล้วไปอยู่ต่างจังหวัด หรือไปอยู่เกาะ การรับประกันก็สามารถไปถึงท่านได้ทั่วประเทศ
            อีกนิดนึง Tag ติดการรับประกันของเครื่องประกอบใช้ Sticker แปะ แล้วก็เขียนเอาว่าเริ่มวันไหน แต่ Server Brand นั้นฝังอยู่หน้าตัวเครื่องเลยครับเป็น Part Number & Serial Number ของเครื่องนั้น และบางทีคุณจะได้ประกันมากกว่าที่คุณจะได้ด้วยซ้ำ แต่เครื่องประกอบ ก็แล้วแต่เขาจะเขียน เกิดมันเลือนลาง จางหายไป เพราะมันเป็นหมึกเขียน ก็อาจจะทำให้มีปัญหาได้ว่าหมดประกันไปหรือยัง ต้องไปสืบค้น Invoice อีกต่างหาก

ระบบ Alert 
            สิ่งนี้เล่าให้ฟังไปบ้างแล้ว สำหรับ Server ประกอบนั้น ระบบ Alert อุปกรณ์ต่างๆ ในการเสียหายของ Server นั้นแทบไม่มี อุปกรณ์ไหนเสียก็ต้องสุ่มหากันไป เหมือนดัง PC แต่สำหรับ Server Brand บางยี่ห้อ สามารถ Alert อุปกรณ์ได้แทบทุกอย่างภายใน อาทิเช่น Memory , Harddisk ,Fan ,Power Supply และอีกมากมาย มีแม้กระทั้งเตือนก่อนจะเสียด้วยซ้ำ และเคลมได้ทันที ไม่ต้องรอมันเสียก่อนเหมือนกับ Server ประกอบ ดังรูปด้านล่าง

มาตราฐานของอุปกรณ์ 
            มีหลายสาเหตุที่ทำให้ 2BeSHOP เราไม่ขายเครื่องประกอบไปด้วย เหตุผลหนึ่งคือ การมั่นใจในอุปกรณ์ว่าใช้ของแท้แน่นอน 100% เพราะคุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอุปกรณ์ที่ร้านประกอบใส่มาให้กับคุณนั้นคือของมีคุณภาพ ตัวอย่างเช่น Harddisk จริงๆแล้วมันมี 2 เกรด ลองโทรถามทาง Synnex ได้จะมี SATA ที่ใช้ตามบ้าน กับ SATA Enterprise ที่ใช้กับ Server ถามว่าคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าร้านเครื่องประกอบคุณเอา Disk แบบไหนมาใส่ให้ ทั้งๆที่มันหน้าตาเหมือนกัน ต่างกันที่ Serial แต่ราคามันแตกต่างกันเป็นเท่าตัว นี่คือที่สำหรับเก็บข้อมูลสำคัญของบริษัทเชียว หรือ Memory มีทั้งแบบ ECC และ DDR ธรรมดา ถ้า ECC ก็จะรองรับการส่งข้อมูลที่ผิดพลาดของระบบ แต่ Memory ยังพอดูออกที่ตัว Memory เอง แต่ก็ต้องมากังวลอีกว่า Memory ที่ใช้นั้นเทียบ BUS เอาหรือว่าเฉพาะรุ่น เพราะอย่าง SERVER IBM/HP หรือแม้แต่ DELL เองเวลาสั่ง Kingston ก็จะมี Kingston แบบคุณภาพที่ทำมาเทียบ Part กับ IBM/HP เอง แต่ถ้าใช้ของไม่คุณภาพ ก็จะใช้ศัพท์ว่าเทียบ BUS เอาของก็จะราคาถูก แต่นั้นแหละครับ มาด้วยคุณภาพตามราคา พร้อมความเสี่ยง Downtime ที่เกิดขึ้น ของประกอบไม่ได้ถูกที่เพราะมันประกอบ แต่เพราะถูกที่มันเอาของคุณภาพต่ำมาประกอบๆ รวมๆกัน


ที่มา : http://www.2beshop.com/compaseries.php

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมต้องใช้ Server ไม่ใช้ PC

            คำถามที่ว่า ทำไมต้องใช้ Server ไม่ใช้ PC เป็นคำถามยอดฮิต ขององค์กรที่มีงบประมาณค่อนข้างต่ำ หรือแม้แต่บางองค์กรใหญ่ๆ ก็รู้สึกว่าการซื้อ Server เกินความจำเป็น เพราะ PC ก็รันได้ อัดแอร์ให้ 24 ชม. หน่อย มันก็วิ่งไปได้ มีหลายเครื่องหน่อย คอยทดแทนกัน ถ้าพูดเช่นนั้น ก็ต้องบอกว่าจริง มีหลายองค์กรที่นำ PC มาทำเป็น Server แล้วก็ทำการเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี ก็ว่ากันไป ก็อาจจะทำให้ประหยัดกว่าซื้อ Server 1 เครื่อง แต่คำถามก็คือ ทำอย่างนั้นได้ การใช้งานก็คงต้องไม่มาก เพราะ PC ก็ทำมาให้ใช้ได้แค่ 1 CPU เท่านั้นหรือเขาเรียกกันว่า 1way หรือระบบงานคงไม่ซีเรียสมาก เพราะคุณคงต้องตั้งคำถามในใจว่า หาก Server ตัวนี้พัง Harddisk พัง หรือล่มขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากเพียงใด ถ้าไม่มากก็คงใช้ PC ได้แต่หากมีผลเสียหายมากคุณจะเอาความเสี่ยงนั้นฝากไว้กับ PC ราคาหมื่นกว่าบาท หรือฝากไว้กับส่วนต่างที่ต่างกันไม่กี่หมื่นเท่านั้น

แล้ว PC กับ Server ต่างกันตรงไหนล่ะ
     1.Alert ต่างๆ : อันนี้ต้องบอกว่า PC นั้นไม่มี และ Server ประกอบก็ไม่มีเช่นกัน เทคโนโลยี่ Server นั้นก้าวไกลมาก ถึงขนาดที่ Server บางรุ่น สามารถบอกให้คุณได้รู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำว่าอุปกรณ์กำลังจะเสีย เสียชิ้นไหน เสียตัวที่เท่าไร ลองนึกภาพ หากคุณใส่ Memory ไปทั้งหมด 8 แถว แล้วเกิด Memory เสีย สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ถอดออกทีละแถว แล้วรันดูว่าอันไหนเสีย แต่เทคโนโลยี่ Server บางยี่ห้อ สามารถกดปุ่มใน board แล้วขึ้นไฟบอกได้เลยว่า Memory แถวไหนเสีย หรือหาก Harddisk กำลังเสีย วิ่งด้วยความเร็วผิด Speed ก็จะแจ้งเตือนที่หน้าเครื่องว่ากำลังจะเสีย สิ่งนี้คุณจะไม่พบได้เลยใน PC หรือแม้กระทั้ง Server ประกอบ
     2.Mainboard : จริงๆแล้ว Mainboard เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ ชื่อก็บอกอยู่ล่ะว่า Main ถามต่อไปว่าต่างกันขนาดนั้น คงต่างกันที่สถาปัตยกรรม Board Server ถูกออกแบบมาให้รันได้ตลอด 24 ชม แต่ PC ไม่ใช่อย่างนั้น ส่วน Slot ต่างๆก็จะแตกต่างกัน Server โดยส่วนใหญ่จะ Onboard พวกการ์ดจอ และก็เช่นกัน มักไม่มี Sound Card ทั้งที่เพราะส่วนใหญ่นำ Server ไว้ share file รัน application เลยไม่ค่อยฟังเสียงกัน คนที่ใช้งาน multimedia มากๆมักจะใช้ workstation มากกว่า Server
            สำหรับความแตกต่างด้านราคานั้น ผมเคยซื้อตัวประกอบ Mainboard PC จะอยู่ที่ 1,500 - 3,000 แต่ถ้า Server ราคามักจะเริ่มต้นที่ 10,000 บาทสำหรับ Mainboard นี่คือพวก Server ประกอบนะครับ แต่เดี๋ยวนี้ Brand name ก็ถูกกว่าประกอบได้
     3.Power Supply : Power Supply นั้นเป็นส่วนสำคัญ ป็นระบบจ่ายไฟของทั้งระบบ สำหรับตัวนี้นั้นสำหรับ Server ก็เช่นกัน ถูกออกแบบมาให้เปิดใช้งานได้ตลอด 24 ชม เท่าที่ผมเคยซื้อ มันตัวนึงก็ 5 พันกว่าบาทได้ นี่แบบถูกๆเลยนะ แต่เราจะเห็นว่า Power Supply PC มันลูกละ 150 บาทได้มั้ง เห็นว่ามันต่างกัน แล้วผมเคยมีประสบการณ์ บางคนใช้ PC แล้ว Power Supply ไหม้ ส่งผลถึงข้อมูลระบบ มันละลายลงไปโดน mainboard ทำให้ harddisk พังข้อมูลพัง จบเลยงานนี้ ดังนั้นท่านต้องคิดแล้วล่ะว่าข้อมูลท่านสำคัญมากน้อยแค่ไหน
            อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับ Server นั้นมีหลายรุ่นที่มี Reduntdant Power Supply นั้นคือ มันมี Power Supply 2 ตัวในเครื่องเดียว ป้องกัน Power Supply พัง แล้วยังเป็น Hot swap ด้วย นั้นคืออันไหนพังเราก็ดึงออกได้เลย โดยไม่ต้องปิดเครื่อง แล้วเสียบเข้าได้โดยไม่ต้องปิดเครื่องเช่นกัน ก็จะไม่มี Downtime เลยว่างั้น
     4.CPU : CPU นั้นต่างกันแน่นอน แต่ก็มี CPU ที่ไม่ต่างกันคือพวก CPU ตระกูล Pentium ทั้งหลาย บน Server กับ PC นั้นไม่ต่างกัน แต่สำหรับ Server เองที่อยู่ในระดับสูงนิดนึงก็จะมี XEON Processor เป็น Server ที่สำหรับ Server ใส่ได้ตั้งแต่ 2 ตัว 4 ตัว 8 ตัว 16 ตัว แล้วแต่ Mainboard จะเห็นว่าหากคุณรันงานหนักๆ คงไม่มีทางที่จะเอา CPU Pentium เพียงตัวเดียวมาทำงาน งานบางงานระดับ Software House ก็ใช้ Server ตัวนึงเป็นล้านๆ แต่ถามว่าแม้เป็นล้าน มันก็ทำงานได้หลายล้านเช่นกัน สรุปคือ CPU มีจำนวนที่ใส่ได้มากกว่า แล้วสามารถรองรับ Application ที่รันหนักๆได้อย่างดี
     5.Memory : บางคนอาจจะ โห มันต่างกันด้วยเหรอ ต่างครับ Server จะใช้ Memory ที่เรียกว่า ECC Memory จะเป็น Memory ที่มีระบบป้องกันการส่งข้อมูลผิดพลาด อีกทั้ง Memory สำหรับบางยี่ห้อที่เป็น Chipkll คือเป็นเหมือน Mirror Memory เลยทีเดียว คือ หากคุณมี Memory 4 แถว เกิดพังไป 1 แถว ถ้าเป็น PC รันไปถึง Memory ตัวนั้นก็คงแฮงไปเลย แต่ Server ไม่พังคับ ก็ยังรันต่อไปได้ โดยไม่มีสะดุด้
     6.Hard Drive : หรือ Harddisk นั้นแหละ ทำไมต่างกันนั้นเหรอ สำหรับ PC เราคงรู้จัก IDE กัน แล้วก็เดี๋ยวนี้คงเป็น Serial ATA (SATA) มาแทน IDE แต่สำหรับ Server นั้นจะสามารถใช้งาน SCSI ได้ ซึ่งเป็น Harddisk ที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ แล้วยังมีเทคโนโลยี่ใหม่เรียกว่า SAS (แซด) ฟังดูเศร้าๆ แต่ก็เป็นเทคโนโลยี่ของ SCSI ใหม่ที่ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นไปอีก
     7.RAID Controller : RAID หลายคนอาจจะฟังแล้วไม่คุ้น บางคนก็คงคุ้นเคย ใน PC นั้นไม่มี RAID แน่นอนทำให้เลยไม่คุ้นสักเท่าไร แต่ใน Server นั้น RAID มีความสำคัญมาก ถ้าพูดถึงข้อมูลแล้ว เราคงให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นเลยมีเทคโนโลยี่ RAID เพื่อช่วยป้องกัน Harddisk พัง ซึ่งจะทำให้มี Harddisk ที่พร้อมทำงานแทนตลอดเวลาเมื่อลูกใดลูกหนึ่งพัง ก็ไม่ต้องมานั่งกู้ข้อมูล Restore กันให้วุ่นวาย รวมถึง RAID ยังสามารถทำให้ประสิทธิภาพในการเรียกใช้งาน Harddisk ทำได้เร็วขึ้นด้วย ก็มีเช่นกัน ดังนั้นทำให้หลายองค์กรก็เลือกใช้ RAID เพื่อป้องกันข้อมูลที่สำคัญของตนเอง ไว้ผมจะเขียนเรื่อง RAID ให้ว่าแต่ละ RAID ต่างกันอย่างไรมันมีตั้งแต่ RAID 0,1,5,0+1,10 สารพัด RAID

ที่มา : http://www.2beshop.com/compaseries.php

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

QR Code

QR Code คืออะไร?
          หลายๆ คงรู้จักกับ Bar Code กันแล้ว เพราะทุกสินค้า และห้างร้านบ้านเรา ก็มักจะใช้ตัว Bar Code เพื่อกำกับสินค้า ว่าสินค้าตัวนั้น มีชื่อว่าอะไร ราคาเท่าไหร่ เป็นต้น เพื่อให้คอมพิวเตอร์ได้อ่าน และประมวลได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียของเจ้า Bar Code ก็คือมันจะสามารถอ่านได้เฉพาะจากเครื่องอ่าน Bar Code เท่านั้น
          QR Code คืออะไร? QR Code ก็คล้ายกับ Bar Code นั้นแหละคือคือรหัสชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้ โดย QR Code หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า two-dimensional bar code (2D bar code) มันหน้าที่ไว้เก็บข้อมูลต่างๆ ได้เหมือนกันแต่ว่าเร็วกว่า ใช้งานง่ายกว่า และมีลูกเล่นเยอะกว่า Bar Code มากครับ ชื่อของ QR Code นั้นมาจากนิยามความหมายว่า Quick Response หรือการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งมาจากความตั้งใจของผู้คิดค้น ที่จะให้ QR Code นี้สามารถถูกอ่านได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง ซึ่ง QR Code นี้ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1994 โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ที่ชื่อ Denso-Wave และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ QR Code ไปแล้วทั้งในญี่ปุ่น และทั่วโลก และปัจจุบันตัวสัญลักษณ์ QR Code นี้ได้รับความนิยม จนกลายเป็นของธรรมดาในญี่ปุ่นไปแล้ว